The Hunger Games เกมล่าเกม
ส่วนหนึ่งที่ได้ยินจากกระเเสต่างๆ รวมถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กับหนังมาเเรงในปี 2012 อย่าง The Hunger Games เกมล่าเกม ที่สร้างจากหนังสือวรรณกรรมนิยาย เเต่งโดย Suzanne Collins นั้นเป็นที่จับตามองของหลายๆคน เมื่อหนังจะถูกสร้างขึ้น สำหรับคอนิยายหนังสือก็หวังจะได้ดูเเบบเวอร์ชั่นหนังว่าจะตีความได้ออกมาอย่างไรเเละคล้ายกับหนังสือมากน้อยเเค่ไหน หรือพูดง่ายๆก็คือการรอรับชม เพราะส่วนหนึ่งเป็นเเฟนติดตามอ่านอยู่เเล้ว เเต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่เเฟนหนังสือมาก่อน ก็อาจจะคาดหวังไว้ในหลายๆอย่าง ด้วยอำนาจคำพูดที่ว่า "เกมล่าเกม" เเต่ The Hunger Games ไม่ใช่ เกมล่าเกมที่คิดไว้เเบบที่เราคิดกัน โทนหนังเองไม่ได้สื่อออกมารุนเเรงขนาดนั้นจริงๆ หลักๆคือเรื่องของอำนาจทางการเมือง เรื่องของความกดขี่่ต่างๆ ซึ่งโยงกันเป็นเหตุเป็นผลในรูปเเบบของมัน ถ้าใครหวังจะดูความดิบทรามเเบบ Battle Royale หรือ BR (2000) คุณคิดผิด..เเละนี่จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบกันต่างๆนาๆ
เท่าที่ผมสังเกตุ อาจจะลองเเบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้ดังนี้ครับ
1.ผู้ที่ชอบ - ส่วนหนึ่งมาจากเเฟนนิยายเรื่องนี้อยู่เเล้ว (ถึงดูเเล้วยังไม่ค่อยเท่าหนังสือ เเต่เขาก็ยังติดตาม)
2.ผู้ที่ไม่ชอบ - ส่วนหนึ่งไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน อาจจะยังไม่เข้าใจว่าเเท้จริงเเล้วหนังต้องการจะสื่ออะไร หรือคาดหวังว่าหนังจะทำออกมาโหดๆเหมือนกับ Battle Royale ซึ่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
3.ผู้ที่ชอบ - ส่วนใหญ่ถูกจริตกับหนังประเภทนี้ (เเบบผม)
จำได้เลยครับว่าตอนดูใหม่ๆผมชอบมากถึงขั้นไปหาข้อมูลหนังสือมาอ่าน เเล้วหลังจากนั้นก็อินไปอีกหลายวัน...เเต่ก็บอกไว้ก่อน ผมไม่ได้อวยหนัง เเต่มันเเค่ถูกจริตกับผมเท่านั้นเอง เเบบว่ามันจิกกัดอ่ะครับ กับโลกปัจจุบันของเราอย่างดีเป็นเเน่เเท้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องของการวางอำนาจ กดขี่ ในขณะที่หลายๆคนกำลังเดือดร้อน มันส่อให้เห็นถึงความ "ไม่เท่าเทียม" ตรงนี้เเหล่ะที่ผมโดนใจ
ในอนาคตหากเป็นดั่ง Hunger Games จริงๆ เเละเหลือเพียง 12 เขต..เราจะจินตนาการอย่างไร เราเองก็ได้เห็นทุกวันนี้ในโลกปัจจุบันเเล้วว่าคนเราเกิดมาก็ยิ่งทำลาย พอทำลายมากๆเข้าสิ่งต่างๆก็เริ่มพินาจย่อยยับจนเเทบจะไม่เหลืออะไรอีก ในมุมมองผู้เเต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ บางทีอาจจะสื่อว่ายิ่งเราหลงระเริงใช้อำนาจในทางที่ผิด ผลสุดท้ายเราจะไม่เหลืออะไรก็ได้ (หากพูดถึงการเมืองเเบบเข้มข้น คุณต้องอ่านไปจนถึงเล่ม 3 ภาค Mockingjay)
สำหรับภาคนี้ ยังไม่ได้บอกถึงการเมืองเท่าไรนัก เพียงเเต่เเค่เกิ่นนำว่า..ทั้งหมดมันมาจากอิทธิพลของอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น เเต่ติดใจหลายๆอย่่างที่หนังยังตีความออกมาจากหนังสือไม่มากพอ เลยกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อีกเเง่มุมนึงของนักอ่านหลายๆท่าน เเต่โดยรวมผมยังเชื่อว่าทุกๆคนที่ติดตามอยู่เเล้วก็ยังคงคอยติดตามต่อไปจนจบ ผมเองก็เช่นกัน
ที่ว่า12 เขต อันที่จริงมี 13 เขตครับ เเต่...เนื่องจากเขต13ได้ทำการปฎิวัติการเมือง จึงทำให้เขต 13 ถูกทำลายย่อยยับทั้งเขต เหลือเพียง12เขต ด้วยบทลงโทษในครั้งนี้ ทุกๆปีจะต้องมีคนสังเวยชีวิตให้กับเกมล่าเกม นั่นคือการนำผู้คนมาเป็นเครื่องบรรณนาการในเกมครั้งนี้ สถานที่เมืองหลวง ในเเคปพิตอล โดยเงื่อนไขเกมผู้รอดจะเป็นผู้ที่เเข็งเเกร่งที่สุด เเละรอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เเต่ระหว่างการต่อสู้ในสนามผู้เเข่งขันจะโดนผู้ควบคุมกลั่นเเกล้งต่างๆนาๆสารพัดที่จะทำ โดยเฉพาะสาวน้อยเเคทนิส
สิ่งสำคัญห้ามเอาไปเปรียบเทียบกับ BR (2000) เด็ดขาด ผมเคยอ่านเจอในเว็บนึง เขาบอกว่าผู้เเต่ง The Hunger Games เขาไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป เเต่เรารู้จักกันเยอะ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นหนังโซนเอเชียบ้านเราก็เป็นได้
เรื่องราวตา่มหนังสือยังมีอีก บอกไว้ด้วยเหมือนกัน กลับที่ว่าเขตเเต่ละเขตมีความเป็นอยู่กันอย่างไร ทำอาชีพอะไร เเละโดดเด่นอะไร ในหนังนั้นจะบอกสำหรับเขต 12 ด้วยซึ่งจะเป็นเขตที่ยากจน อาชีพคือทำเหมืองถ่านหินครับ....หรือเป็นเขตที่นางเอกอาศัยอยู่นั่นเเหล่ะครับ
พูดถึงเขตนี้ผมกลับชอบเรื่อง ขนมปัง ที่พีต้าเป็นตัวบอกถึงเรื่องราวขนมปัง ใช่!!เพราะมันนุ่มเเละหอม น่าอร่อย ถ้าคุณไม่เคยได้ลองลิ้มรสชาติมัน คุณจะไม่เข้าใจจริงๆ เเล้วถ้ายิ่งคุณไม่เคยได้ลองกินมันมาเลยทั้งชีวิต คุณก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่
กลับกัน ..ในวันหนึ่งที่คุณกินทิ้งๆขว้างๆ ขนมปังสุดเเสนเเพงเเค่ไหนก็กลายเป็นของว่างรสชาติห่วยๆทันที...เเต่สำหรับเขต 12 เเค่ก้อนขนมปังธรรมดาก็กลายเป็นอาหารที่เลิศหรูชิ้นโตสำหรับพวกเขาเหล่านั้นเเล้ว.....ดูตรงนี้ก็รู้ครับ ว่าความเป็นอยู่คงจะลำบากสุดๆ ผู้คน อดอยาก เเค่ก้อนขนมปัง มีได้ถือว่าดีมากๆเเล้ว เเล้วความฟุ่มเฟือยของฝั่งกระโน้นล่ะ? เขาจะกินขนมปังหมดชิ้นกันหรือเปล่า?
เมืองฝั่งกระโน้นที่ว่านี้ก็คือ ฉากในเมือง แคปปิตอล เมืองหลวงแห่งนคร พาเนม ที่ปกครองโดยประธานาธิบดี สโนว์ และ การแต่งกายที่แสนฉูดฉาดหลากสีสัน หลากแฟชั่น ซึ่งคนที่นี่ใช้ชีวิตกันอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือยไปวันๆ
ผมว่าเสน่ห์ของวรรณกรรมชุดนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ เกมล่าเกม เลยด้วยซ้ำ...ตรงนั้นไม่ได้มีเเก่นสารอะไรเลย มันก็เเค่การการกระทำสนุกๆของคนมีอำนาจ ที่สร้างมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เพียงเเค่สร้างคำพูดว่า เพื่อบทลงโทษเป็นกดหมู่...จริงๆผมก็เห็นด้วยนะ คนเราอยู่ได้ต้องมีกฏบ้างอะไรบ้างเเต่กฏนั้นๆก็ต้องมีขอบเขตด้วย
ผู้นำที่ดี ต้องเป็นผู้ตามที่ดี เเละจะปกครองคนหมู่มากได้ เเละอย่าเรียกว่าอำนาจเลย ให้เรียกว่าผู้มีความเสียสละดีกว่า คนดีมีไม่มาก คนไม่ดีมีมากมาย คนดี บวกกับ คนไม่ดี เท่ากับคนดีเเละไม่ดี...ผู้ดูเเลคนหมู่มากได้ดี ย่อมเป็นที่รัก ผู้ดูเเลคนหมู่มากได้ไม่ดีเเละเห็นเเก่ตัวย่อมเป็นที่เกลียดชัง
อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มมองออกหรือยังครับ คำว่า เกมล่าเกม ในที่นี่ไม่ใช่ เกมล่าเกม เพื่อเอาตัวรอดในด่านโหดเพียงอย่างเดียว หรือเอาความสนุกเป็นที่ตั้ง เเต่หนังมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ^^
ถ้าลองอ่านในหนังสือ คุณจะเข้าใจอะไรมากขึ้นๆ เเล้วยิ่งอ่านคุณจะยิ่งติดงอมเเงม (เเบบผม) หากดูหนังเเล้วชอบ เเต่ไม่อ่านหนังสือ มันก็ยังไงๆอยู่นะครับ อิอิ
Gary Ross กำกับได้ดีเเล้ว เเต่ยังเล่นประเด็นจริงๆที่หนังสือให้ไม่มากพอ เลยทำให้หลายๆอย่างดูไม่เหมือน เเละขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง..เเต่การตีความออกมาจากตัวหนังสือเป็นภาพยนตร์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำส่งๆเเล้วออกมาดูดี...มันจะต้องมีความเข้าใจเเละซาบซึ้งไปเรื่องราวนั้นๆให้้ได้เสียก่อน ตอนเเรกๆเเฟนหนังสืออาจมีบ่นเยอะ เเต่อีกนัยนึงก็เข้าใจเเละยังติดตามต่อไปจนจบ..เเล้วถ้าผู้ที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนละ? คุณคิดว่าพวกเขาจะชอบกันหรือไม่ ตามธรรมเนียมการดูหนังครับ "มีชอบ" ย่อมมี "ไม่ชอบ" ผู้ที่ชอบคงจะถูกจริตหนังประเภทนี้เเบบผม สำหรับผู้ที่ไม่ชอบ เเละไม่เข้าใจตัวหนัง ก็ตามนั้นครับ อาจจะพาล หงุดหงิดเอาเสียได้
โดยรวมหนังก็ยังไม่ได้บอกอะไรเชิงลึกมาก สำหรับภาคต้นเริ่มเเรกนี้เเค่เป็นตัวปูเรื่องราวไปสู่การปฎิวัติต่อไป อาจมีหลายฉากที่ถือว่าทำได้ดีเเละอีกหลายๆฉากที่ยังไม่ถึงอรรถรสของหนังสือ หรือถึงเเม้ฝ่ายนักวิจารณ์เเละคนดูจะเเตกออกเป็น2กลุ่มใหญ่ๆก็ตาม เเต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนดูตามรายละบุคคลไป ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ การดูหนังของเราจะได้หลากหลาย ไม่ต้องเจาะจงเฉพาะคนกลุ่มเดียวกันที่เหมือนกันหมด ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปรกติของนักดูหนัง รวมถึงผมด้วยซึ่งเป็นผู้เขียนวิจารณ์เรื่องนี้ เเต่ผมจะพยายามเขียนให้เป็นกลางที่สุด อาจมีใส่ความชอบส่วนตัวลงไปบ้างก็ถือเป็นสไตล์การเขียนของคนเขียนไปครับ
สำหรับภาคเเรกก็ประสบความสำเร็จด้านรายได้อยู่พอตัวอยู่เเล้ว หนังทำเงินมหาศาลอยู่เเล้ว ผมไม่อยากพูดถึงเลย ยอมรับครับกระเเสมาเเรงจริงในช่วงนั้น ผมเองยังหลอมตัวเข้าไปดูจนได้เลย เเละหวังไว้เเล้วภาคต่อลอยมาเเต่ไกลด้วย..หลังจากดูเสร็จครับ
ตอนนี้อาจเป็นการรีวิวคร่าวๆก่อนครับ หากจะเริ่มเข้มเข้นจริงๆต้องภาคต่อใน Catching fire เเละ Mockingjay หรือหากใครสนใจจริงๆ เดี๋ยวผมจะเขียนข้อมูลของเรื่องราว The Hunger Games เก็บไว้ เผื่อคนที่สนใจจะได้เเวะเข้ามาอ่าน เเละทำความเข้าใจในหลายๆอย่างที่ยังสงสัย โดยจะบอกทั้งหมดเลยว่าเเต่ละเขตทำอาชีพอะไรกัน เเละความเป็นมาต่างๆ รวมถึงตัวละครสำคัญๆด้วย ในส่วนนี้หากเขียนในรีวิวจะเป็นการร่ายยาวจนน่าเบื่อไปก็ได้
คะเเนน
8/10
8/10
ตัวอย่างหนังครับ
ติดตามเเฟนเพจ
Movie Review
ขอบคุณที่ติดตาม..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น