Toy story 3 ทอย สตอรี่ (2010)
"งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา การพบเจอก็ต้องมีการลาจากมันคงเป็นเรื่องธรรมดา"
ในที่สุดเหล่าของเล่นที่มีชีวิตจำำเป็นต้องอำลาจากเจ้าของ..ของพวกเขาจริงๆเสียเเล้ว..เพราะด้วยกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปทำให้อะไรหลายๆอย่างดูเปลี่ยนเเปลงตามไปด้วย..เหมือนกับหนุ่มน้อยเเอนดี้..ที่กำลังเริ่มจะโตเป็นผู้ใหญ่..คงไม่มาเล่นเเล้วล่ะของเล่นเด็กๆ..เเต่นั่นก็คงไม่แปลกหรอก เพราะทุกๆอย่างล้วนมีที่สิ้นสุดอยู่เเล้ว เเต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ไว้ตลอดกาล..คือ มิตรภาพดีๆต่างหาก ที่ไม่มีวันเจือนจางหายไปไหน เเละ Toy story เดินทางมาถึงภาคสุดท้าย ของการปิดตำนานของเล่นในวัยเด็ก เเต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ยังคงเหลือ.. เเต่มันคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ล้ำค่าที่สุดเเล้วล่ะ
หนุ่้มน้อยเเอนดี้ เมื่ออายุเข้า 17 ปี ก็อยู่ในช่วงเลยวัยที่สนใจกับพวกของเล่นเก่าๆเเล้ว เพราะต้องเตรียมศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย เเต่เเอนดี้ตัดสินใจที่จะนำวู้ดดี้ไปกับเขาด้วย และนำของเล่นชิ้นอื่นๆใส่ไว้ในถุงขยะโดยมีเจตนาที่จะเก็บของเหล่านี้ไว้ที่ห้องเพดาน แต่แม่ของแอนดี้ก็เข้าใจผิดคิดว่าของเหล่านี้กลายเป็นขยะ เพราะคิดว่าแอนดี้คงไม่ต้องการของเล่นเหล่านี้อีกต่อไป เหล่าของเล่นต่างพบว่านี่เป็นกล่องที่บริจาคถึงซันนี่ไซด์เดย์แคร์ ในขณะที่วู้ดดี้เป็นฝ่ายเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เขาจึงพยายามแก้ความเข้าใจผิดให้กระจ่าง แต่ของเล่นอื่นๆต่างก็ปฏิเสธที่จะรับฟัง..
เหล่าของเล่นย้ายเข้าสู่ซันนี่ไซด์และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเดย์แคร์ทอย ซึ่งนำโดยลอทส์-โอ-ฮักกินส์-แบร์ (ลอสโซ่) ในขณะที่วู้ดดี้เป็นฝ่ายพยายามโน้มน้าวใจพวกเขาให้เดินทางกลับไปหาแอนดี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาต่างมีความสุขกับการอยู่กับซันนี่ไซด์มากกว่า ทำให้วู้ดดี้ออกไปจากกลุ่มของพวกเขา ต่อมาไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่า เด็กๆกลุ่มใหม่นั้นไม่เคยปฏิบัติกับของเล่นอย่างอ่อนโยนเลย อีกทั้งยังทรมานของเล่นชิ้นต่างๆด้วยความไร้เดียงสา ซึ่งลอสโซ่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อต้องการที่จะทารุณของเล่นที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ขณะเดียวกัน บาร์บี้ของมอลลี่ที่นำมาบริจาคด้วยได้เกิดตกหลุมรักกับเคน ผู้ซึ่งเป็นมือขวาของลอสโซ่ โดยเคนเองก็ตกหลุมรักบาร์บี้ด้วยเช่นกัน ส่วนบัซ ไลท์เยียร์ก็ได้ออกไปขอร้องลอสโซ่ให้มอบของเล่นเหล่านี้ไปอยู่กับเจ้าของเดิม แต่เขากลับถูกจับกุมโดยพวกของเล่นซันนี่ไซด์ และทำการรีเซ็ทบัซใหม่ ให้กลายเป็นผู้พิทักษ์อวกาศตามความต้องการของพวกเขาแทน และสั่งให้ไปจับตัวเหล่าบรรดาของเล่นที่เป็นเพื่อนของบัซไปคุมขังเอาไว้ทั้งหมด
แต่นับเป็นโชคดีที่ระหว่างทาง วู้ดดี้ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับไปหาแอนดี้ที่บ้านนั้นได้พบกับบอนนี่ หนูน้อยผู้รักของเล่น ผู้ซึ่งมีแต่ของเล่นที่อยู่ในสภาพดี อาทิ เม่นเจ้าบทบาทในชุดเอี๊ยมที่ชื่อ คุณพริกเคิลแพนต์ และตัวตลกที่ชื่อ ชัคเกิ้ลส์ ซึ่งเคยมีเจ้าของคนเดียวกับลอสโซ่ และรู้เรื่องราวอันร้ายกาจของซันนี่ไซด์เดย์แคร์เป็นอย่างดี เมื่อเขาได้เล่าให้วู้ดดี้ฟัง วู้ดดี้จึงรู้ว่าเพื่อนๆของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย วู้ดดีจึงพยายามหาวิธีเข้าไปช่วยเพื่อนๆ และรวมพลังกันวางแผนกับภารกิจเพื่อหนีกลับบ้านไปหาแอนดี้ให้ได้
เ้รื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นหลายๆฉาก ในมุมมองหนังที่พยายามนำเสนอก็คงเป็นเรื่องของความรักระหว่างเพื่อนพ้อง การดูเเลช่วยเหลือซึ่งกันเเละกัน เเม้ว่าจะต้องถึงจุดจบของชีวิตเเต่ก็ยังที่จะไม่ทอดทิ้งกัน
ความเหนียวเเน่นของมิตรภาพของพวกเขา ล้วนเกิดจากความรักเเละจริงใจต่อกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องช่วยเหลือกัน พร้อมจะฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน "เพราะเราคือเพื่อนกัน"..
ความเหนียวเเน่นของมิตรภาพของพวกเขา ล้วนเกิดจากความรักเเละจริงใจต่อกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องช่วยเหลือกัน พร้อมจะฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน "เพราะเราคือเพื่อนกัน"..
สุดท้ายนี้..การเดินทางก็ได้จบลง..ทุกคนกลับมาหาเเอนดี้ได้เเละเเอนดี้ก็ยกของเล่นทั้งหมดให้กับคนอื่น..จะเห็นได้ว่า..สายตาของทุกคนล้วนมีความโศกเศร้าเเต่ก็เเฝงไปด้วยความรู้สึกดีๆที่ไม่อาจตัดขาดจากกันได้..ถึงเเม้จะจากกันเเต่เราจะอยู่ด้วยกันภายในจิตใจเสมอ เเละด้วยความรักเเละผูกพันธ์ เเม้จะเป็นเเค่ของเล่น เเต่มันก็อยู่กับเรามาตลอด ทุกๆครั้งที่เราเบื่อเราก็จะหยิบมันมาเล่น ทุกๆครั้งที่เราโดดเดี่ยวเราก็จะหยิบมันมาคุยด้วย เเม้มันจะไม่มีชีวิตเเต่บางทีมันก็อาจรับรู้ได้..นะ ^_____^
กาลเวลาผ่านพ้นไป..อะไรหลายๆอย่างทำให้เราเติบโตขึ้นได้ครับ เเละภาพยนตร์ชุดนี้ก็ตอบโจทย์ผู้ชมได้อย่างดี. ถือว่าภาคจบนี้ทำได้ลงตัวมากๆเลยล่ะ ^^ ตอนนั้น ผมดูเเล้วอินจนร้องไห้เลยครับ T^T
ติดตามเเฟนเพจ Movie Review
ขอบคุณครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น